วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิธีการดูแลรักษาสุขภาพตา - การตรวจสุขภาพตา


การวัดระดับการมองเห็น การวัดสายตา การวัดความดันตา


การหยอดยาขยายม่านตา การพบจักษุแพทย์

สาเหตุที่การตรวจสุขภาพตามีความสำคัญ
การวัดระดับการมองเห็น การวัดสายตา การวัดความดันตา การหยอดยาขยายม่านตา การพบจักษุแพทย์ สาเหตุที่การตรวจสุขภาพตามีความสำคัญ ท่านอาจสงสัยว่า ทำไมต้องตรวจสุขภาพตา หากท่านไม่พบความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาหรือการมองเห็น แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคทางตาบางโรคไม่แสดงอาการให้เห็นจนกว่าจะอยู่ในขั้นที่รุนแรง ซึ่งอาจไม่สามารถรักษาให้เป็นปกติได้ ดังนั้น ท่านจึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาอย่างละเอียดอย่างน้อยสองปีต่อหนึ่งครั้ง และเมื่อท่านอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง โอกาสที่จะเกิดโรคทางตามีสูงขึ้นพร้อมกับอายุที่มากขึ้น ตัวอย่างเช่น โรคต้อหิน พบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ซึ่งไม่มีอาการใดๆเลยประมาณ 0.5 %

ขั้นตอนการตรวจมี 4 ขั้นตอน คือ
1. การวัดระดับการมองเห็นด้วยตาเปล่า

ขั้นตอนแรกในการตรวจสภาพตา คือ การวัดระดับการมองเห็น ด้วยตาเปล่า ซึ่งช่วยให้ทราบว่าท่านสามารถมองเห็นวัตถุที่อยู่ไกลได้ดีมากเท่าไร โดยการอ่านแผนภูมิตัวเลขซึ่งมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ผลของการวัดระดับการมองเห็นด้วยตาเปล่าจะได้รับการวัดออกมาในระยะห่าง 20 ฟุต โดยเทียบกับการมองเห็นของคนทั่วไป ตัวอย่างเช่น การมองเห็นในระดับ 20/200 หมายถึง ตัวเลขที่เล็กที่สุดที่ท่านสามารถอ่านได้ในระยะห่าง 20 ฟุต คนทั่วไปสามารถอ่านได้ในระยะ 200 ฟุต ซึ่งหมายความว่าท่านไม่สามารถมองเห็นได้ดีเท่ากับคนทั่วไป

การสอบใบขับขี่ด้วยตาเปล่าผ่านได้ จะต้องมีการมองเห็นอยู่ที่ระดับ 20/40 ดังนั้นการมองเห็นในระดับ 20/40 จึงถือเป็นการมองเห็นปกติตามกฎหมาย สำหรับการมองเห็นในระดับ 20/20 ถือว่าเป็นการมองเห็นที่ดีที่สุด หากท่านไม่สามารถมองเห็นได้ในระดับ 20/20 ขั้นตอนต่อไปในการตรวจ คือ การตรวจด้วยเครื่องวัดสายตาอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการตรวจหาความผิดปกติ เช่น สายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด และสายตาเอียง

2. การวัดสายตาด้วยเครื่องวัดสายตาอัตโนมัติ
หากท่านไม่สามารถมองเห็นได้ในระดับ 20/20 การตรวจด้วยเครื่องวัดสายตาอัตโนมัติ สามารถตรวจหาความผิดปกติในการมองเห็นของท่านได้ เช่น สายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด และ สายตาเอียง ซึ่งเกิดจากกำลังการรวมแสงไม่พอดีกับความยาวของลูกตา การวัดสายตาด้วยเครื่องวัดสายตาอัตโนมัติ สามารถหาค่าความผิดปกติในการมองเห็นของท่าน และมีการเปลี่ยนเลนส์ในแบบต่างๆ เพื่อให้ได้การมองเห็นที่ดีที่สุดในตาแต่ละข้าง ซึ่งจักษุแพทย์จะใช้ผลจากการวัดสายตานี้ เพื่อใช้ตัดแว่นสายตาซึ่งเหมาะสมกับค่าสายตาของท่าน และค่าสายตาที่แน่นอนในการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ

3. การวัดความดันตา
การวัดความดันตา เป็นการตรวจหาโอกาสที่จะเป็นโรคต้อหิน ซึ่งเกิดจากดวงตาไม่สามารถทนความดันภายในตัวเองได้ ผู้ที่เป็นโรคต้อหินส่วนใหญ่จะไม่มีอาการใดๆ และมีความดันตาสูงกว่าปกติซึ่งอยู่ที่ 10-20 มิลลิเมตรปรอท หากตรวจแล้วพบว่ามีความดันตาผิดปกติ จักษุแพทย์จะทำการตรวจอย่างละเอียดว่าเป็นโรคต้อหินหรือไม่ การวัดความดันตามีหลายวิธีและระดับความถูกต้องแม่นยำก็แตกต่างกันไป

4. การตรวจสุขภาพตา
ขั้นตอนสุดท้ายของการตรวจสุขภาพตา คือ การพบจักษุแพทย์ โดยจักษุแพทย์จะทำการตรวจอย่างละเอียด วิเคราะห์ผลการตรวจ และสรุปผลให้ท่านทราบ แพทย์อาจแนะนำให้มีการตรวจเพิ่มเติมอย่างละเอียด เพื่อหาโรคทางตาบางชนิด หรือ อาจแนะนำให้ใช้อุปกรณ์เพื่อช่วยในการมองเห็น เช่น แว่นสายตา และอาจมีการรักษาปัญหาที่พบในระหว่างการตรวจ หรือแนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษาต่อไป



การดูแลผิวแบบง่ายๆด้วย ทำได้เองที่บ้าน

สรรพคุณของผลไม้แต่ละประเภท
1. ว่านหางจระเข้ บำรุงผิว สำหรับทุกสภาพผิว
2. แตงกวา ปรับสภาพผิว เหมาะสำหรับผิวมัน
3. ฝรั่ง ขัดผิว มีส่วนผสมของกรด AHA
4. ตะไคร้ ทำความสะอาดผิว สำหรับทุกสภาพผิว
5. สับปะรด ขัดผิว มีส่วนผสมของ AHA
6. มะขาม ขัดผิว ช่วยให้ผิวขาว เหมาะสำหรับผิวมัน

น้ำผึ้ง และ แตงกวา ขัดผิว
ส่วนผสมประกอบไปด้วย น้ำผึ้ง 8 ออนซ์ น้ำมะนาวคั้น 10 หยด แตงกวา ฝานเป็นแผ่นบางๆ
น้ำผึ้งทำให้ผิวนุ่มขึ้น ช่วยลดความระคายเคืองของผิว และบรรเทาอาการอักเสบ ในขณะเดียวกันน้ำมะนาวช่วยในกระบวนการผลัดผิว
ล้างหน้าให้สะอาด ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน ทาลงบนใบหน้าแล้วนวด 15 นาที หลังจากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก
เมื่อเสร็จขั้นตอนแรกแล้วให้วางแผ่นแตงกวาบนใบหน้าและลำคอ แตงกวาจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกที่ตกค้างออก ช่วยให้ผิวเย็นและตึง และเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆอีกครั้ง

ขมิ้นพอกผิว
ส่วนผสมประกอบด้วย ขมิ้นสด 10 กรัม ถั่วเหลือง 15 กรัม
ขมิ้นเป็นสมุนไพรที่คนไทยรู้จักมีกคุ้นเป็นอย่างดีมีสรรพคุณลดอาการอักเสบและสมานผิว ส่วนถั่วเหลืองมีเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และไฟโตเอสโตรเจน ที่ช่วยทำให้ผิวขาวและนุ่มขึ้น
วิธีการเตรียม ให้นำขมิ้นมาล้างและปอกเปลือกออกปั่นให้ละเอียด หากเป็นสมัยปู่ยาตาทวดเราใช้ครกกับสากบดซึ่งกินเวลานานเกินไป ไม่ทันใจสาวสมัยใหม่ ปัจจุบันใช้เครื่องปั่นจะสะดวกกว่า
เมื่อปั่นขมิ้นเสร็จแล้วให้พักไว้ นำถั่วเหลืองไปล้างโดยแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ปั่นแล้วนำมาผสมกับขมิ้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน ทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวด้วยกล้วย
ส่วนผสมประกอบด้วย กล้วยสุก ผลขนาดกลาง 2 ผล
Wheat germ oil ½ ช้อนชา
น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกมะลิ 2 หยด
ตัวพอกหน้านี้อุดมไปด้วยวิตามิน เหมาะสำหรับฟื้นฟูสภาพผิว และทำให้ผิวสดชื่นหลังจากวันอันเหนื่อยล้า กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินเอและโพแทสเซียม ส่วนน้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกมะลิ ช่วยปรับสภาพผิว ลดเลือนรอบแผลเป็น และน้ำผึ้ง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิว
ปั่นกล้วยแล้วใส่ส่วนผสมที่เหลือทั้งหมดลงไปคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน เมื่อเตรียมตัวพอกเสร็จแล้ว ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดด้วนโทนเนอร์ จากนั้นจึงทาตัว พอกลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและเช็ดด้วยโทนเนอร์อีกครั้งเพื่อกำจัดตัวพอกที่ตกค้างอยู่ออกให้หมด

น้ำผึ้งและส้มกระชับผิวหน้า
ส่วนผสมประกอบไปด้วย ส้มหรือส้มจีน 1 ชิ้น
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
น้ำมันหอมระเหยดอกลาเวนเดอร์ 1 หยด
เป็นตัวพอกหน้าที่ช่วยให้ผิวนุ่มและสดใสขึ้น ทำให้ผิวหน้าเต่งตึง เป็นตัวพอกหน้าที่อ่อนโยนต่อผิวสามารถทำได้บ่อยครั้ง เพื่อปรับปรุงสภาพผิวและช่วยให้จุดด่างดำจางลง
บิส้มให้น้ำส้มออกมา ถูส้มให้ทั่วใบหน้า กรดผลไม้ในส้มช่วยทำความสะอาดผิวและเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว เมื่อทั่วแล้วให้ใช้ฟองน้ำหรือผ้าชุบน้ำเปียกหมาดๆเช็ดออกเบาๆ
เมื่อเสร้จขั้นตอนแรกแล้ว ผสมน้ำผึ้งเข้ากับน้ำมันหอมระเหยดอกลาเวนเดอร์ และทาลงบนใบหน้า นวดเบาๆทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

กล้วยและอะโวคาโดพอกหน้าสำหรับผิวแห้ง
ส่วนผสมประกอบไปด้วย กล้วยสุกผลเล็ก 1 ผล
อะโวคาโดสุกผลเล็ก 1 ผล
โยเกิร์ตเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันวิตามินอี 2 หยด
ผลลัพธ์ที่ได้จาก treatment นี้ คือ หน้าลื่น เรียบเนียน และมีกลิ่นหอม
บดกล้วยและอะโวคาโดเข้าด้วยกันจนข้นและมีสีเขียวผสมโยเกิร์ตและน้ำมันวิตามินอีลงไป แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน เมื่อเตรียมตัวพอกเสร็จแล้ว ล้างหน้าและอบไอน้ำผิวหน้าเพื่อให้รูขุมขนเปิด หลังจากนั้นจึงทาตัวพอกลงบนใบหน้านวดและทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทีนี้คุณก็มีสูตรขัด พอกครบถ้วน อีกทั้งเป็นสูตรที่ไม่ยากเย็นอีกต่างหาก สุดท้ายหน้าจะใสหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าจะมีเวลาในการทำ treatment อย่างสม่ำเสมอหรือไม่ การดูแลผิวพรรณด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติแบบนี้ ต้องอาศัยเวลาและความอดทนค่ะ แต่รับรองได้ว่าผลที่ได้คุ้มค่าแน่นอนต่อการรอคอย


 
 
 
 

หลัก ๘ ประการของการดูแลรักษาสุขภาพ

๑. รับประทานอาหาร อย่างถูกต้องเหมาะสม
อาหารเช้า
สำคัญมากเพราะช่วงเช้าร่างกายขาดน้ำตาล ถ้าไม่รับประทานอาหารเช้าจะเกิดภาวะขาดน้ำตาลซึ่งจะมี ผลทำให้ความคิดตื้อตันไม่ปลอดโปร่ง วิตกกังวล ใจสั่น อ่อนเพลีย หงุดหงิด โมโหง่าย มื้อเช้ารับประทานได้เช้าที่สุดยิ่งดี (ระหว่างเวลา ๖.๐๐ – ๗.๐๐ น.) เพราะท้องว่างมานาน หากยังไม่มีอาหารให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำข้าวอุ่น ๆ ก่อนควรทานข้าวต้มร้อน ๆ จะช่วยให้ง่ายต่อการขับถ่ายอุจจาระ ถ้าจำเป็นต้องรับประทาน(สาย) ใกล้อาหารมื้อ กลางวัน อย่ารับประทานมาก
อาหารเพล (อาหารมื้อกลางวัน)
ควรเป็นอาหารหนัก เช่น ข้าวสวย พร้อมกับข้าวครบ ๕ หมู่ เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานมาก และควรรับประทานให้เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย
๒. ขับถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ สม่ำเสมอทุกวัน
๓. ใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสม กับฤดูกาล เช่น หน้าหนาวก็ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ สวมหมวก ถุงมือ ถุงเท้าขณะนอนตอนกลางคืนควรห่มผ้าปิดถึงอก
๔. ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายกลางแจ้งทุกวัน
๕. รักษาความสะอาดของสถานที่พักอาศัย เพื่อช่วยให้สิ่งแวดล้อมดี อากาศดี
๖. รักษาอารมณ์ให้ปลอดโปร่ง แจ่มใสตลอดทั้งวัน และอย่าลืมนั่งสมาธิทุกวัน
๗. พักผ่อนให้เพียงพอ เหมาะสมกับเพศ และวัยไม่ควรนอนดึกเกิน ๒๒.๐๐ น. ติดต่อกันหลายวัน
๘. มีท่าทาง และอิริยาบถที่ถูกต้องเหมาะสม ในการทำงานในชีวิตประจำวัน




วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

“หัวไชเท้า” สูตรเด็ดลดรอยฝ้า-กระให้จางอย่างอัศจรรย์

วิธีง่ายๆ ทำสาวผิวสวยใสได้ด้วยตัวเอง

ตอนนี้เราจะมารู้จักวิธีเพิ่มความสวยให้ตัวเองและคนที่เรารัก  ด้วยสูตร “ช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางลง” แบบง่ายๆ ในสูตรนี่เราใช้ผักที่อยู่ในครัว คุณจะรู้ว่าสมุนไพรที่เราเคยแต่รับประทานในแกงจืดก็ช่วยให้คุณสวยได้ จากเคล็ดลับ ที่ไม่ลับ อีกต่อไป....

ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนดีกว่า ว่าสูตรที่จะช่วยให้เราสวยใสสูตรนี้มีอะไรเป็นส่วนผสมบ้าง

ส่วนผสม
1.หัวไชเท้า 1 หัว(ขนาดเล็ก)
2.น้ำมะนาวสด 1 ช้อนแกง

ส่วนวิธีทำ
เป็นวิธีง่ายๆ ไม่ยากอย่างที่คิด... ก่อนอื่น เราต้องนำหัวไชเท้าล้างน้ำให้สะอาด แล้วปอกเปลือก หั่นบางๆ นำไปปั่นให้พอละเอียด ใส่น้ำมะนาวประมาณ 1 ช้อนแกงแล้วจึงปั่นรวมกันอีกครั้ง เมื่อเราส่วนผสมที่ทำเสร็จแล้วก็มาดูวิธีใช้ กันเลยนะค่ะ

วิธีใช้
วิธีใช้ในสูตรก็ไม่มีอะไรอยากแค่นำส่วนผสมที่ได้มาทาทั่วผิวหน้า (ยกเว้นรอบดวงตาและปาก) ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเป็นประจำจะช่วยลดฝ้า และกระให้สีจางลง หัวไชเท้านอกจากจะทานได้แล้วยังมีสรรพคุณช่วยลดฝ้าและกระให้จางลงได้ด้วยค่ะ

เห็นไหมค่ะเคล็ดลับของสูตรช่วยลดฝ้า และกระให้สีจางลง ของเรา ไม่ยากเลย จะรอช้าอยู่ทำไมค่ะ รีบลงมือทำกันเลย เพราะแค่หันไปในตู้เย็นหาหัวไชเท้ามาทำตามสูตรของเราแค่นี้คุณก็สวยได้แล้วค่ะ




ทาครีมกันแดด อย่างไรให้ได้ผล

      ทุกวันนี้การใช้ครีมกันแดดดูเหมือนจะแทรกเข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตของคนเรามากขึ้น ประกอบกับการกระหน่ำโฆษณาของผู้ผลิตรายต่างๆ ให้เห็นความสำคัญของการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จนดูราวกับว่าจะขาดมันเสียไม่ได้ แต่คุณจะทราบหรือไม่ว่าการทาครีมกันแดดนั้นมิใช่สักแต่ว่า ทาๆเข้าไปก็แล้วกัน

มาลองดูกันดีกว่าว่าจะหาวิธีทาครีมกันแดดอย่างไรให้ได้ผล โดยขอหยิบยกบางส่วนมาจากนิตยสารฉลาดซื้อ เดือนธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุดที่มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค ส่งถึงสมาชิก

รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล เขียนไว้ในคอลัมน์ “สวยอย่างฉลาด” ว่า ปัญหาครีมกันแดดที่ทาแล้วไม่ได้ผลมีหลายปัจจัย ที่สำคัญคือ 

    1. วิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้องและได้ผล ต้องทาครีมเพื่อปกปิดผิวหนังทุกรูขุมขน...แต่โดยทั่วไปผู้บริโภคมักนิยมทาเพียงเบาบาง ทำให้รังสีดวงอาทิตย์สามารถกระทบและทะลุเข้าสู่ผิวหนังได้บางส่วน นักวิชาการ จึงแนะนำว่าหากต้องการทาให้ได้ผลควรทาบ่อยๆ ทุก 1-2 ชั่วโมง

    2. หลังทาครีมกันแดด ผู้บริโภคมักมีกิจกรรมต่างๆ เช่น ออกกำลังด้วยการตีกอล์ฟ ว่ายน้ำ วิ่ง เดิน หรืออื่นๆ ทำให้เหงื่อออกทางผิวหนังและครีมกันแดดจะถูกชะออกหมดโดยง่าย ทำให้ประสิทธิภาพของครีมกันแดดลดลงหรือหมดไป 

     3. สารกรองรังสียูวีที่เป็นองค์ประกอบในครีมกันแดดหลายชนิดไม่คงตัว สลายตัวเมื่อโดนความร้อน ทำให้ครีมกันแดดเสื่อม สินค้าบางตัวอาจเสื่อมตั้งแต่ยังไม่ทันใช้ก็มี หากผู้ขายเก็บไว้ในร้านค้าที่ร้อนหรือผู้บริโภคเอง ซื้อไปเก็บในที่ร้อนทำให้สารกันแดดเสื่อมประสิทธิภาพก่อนเปิดใช้ ดังนั้น จึงควรเลือกซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ เก็บสินค้าในสถานที่ปรับอากาศ และอย่าลืมดูวันเดือนปีที่ผลิตว่าเก่าเก็บหรือไม่ เพราะนอกจากครีมกันแดดจะหมดประสิทธิภาพแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดพิษระคายเคืองต่อผิวหนังได้อีกด้วยหากครีมหมดอายุ

เห็นไหมล่ะว่ามันมีหลายปัจจัยจริงๆ กว่าจะทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวให้ได้ผลอย่างที่ตั้งใจไว้.


ข้อมูลจาก :

 



ทาครีมอย่างไรให้ หน้าเด้ง



      รู้ไหมว่า บางครั้งการที่คุณสาว ๆ ลงทุนซื้อครีมบํารุงราคาแพงมาใช้เพื่ออยากให้ผิวได้รับการบํารุงจากผลิตภัณฑ์เกรดเอ แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด นั่นอาจจะไม่ได้เป็นเพราะคุณภาพของผลิตภัณฑ์ แต่อาจจะเป็นเพราะคุณไม่รู้วิธีการทาครีมที่ถูกต้องต่างหาก

    เริ่มแรกควรต้องเตรียมผิวหน้าให้สะอาดเสียก่อน แล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ให้พอเหมาะ เพราะถ้าน้อยเกินไปก็จะไม่ได้ผล หรือถ้ามากเกินไปก็จะทําให้ผิวหน้ามัน และที่สําคัญคือเปลืองครีมโดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้ประมาณ 1 ลูกเชอร์รี่เท่านั้น
    จากนั้นแต้มครีมให้ทั่วทั้ง 5 จุด บนใบหน้า คือ เริ่มจากหน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้างและคาง แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนางในการเกลี่ยครีมให้ทั่วใบหน้า โดยเริ่มจากบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้มส่วนกลางไปยังส่วนข้าง ๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้าย และทางด้านขวาออกขวา แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้

    อย่าลืมทาครีมบริเวณลําคอเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะดูแปลก ๆ หากหน้าเต่งตึงแต่คอยาน ซึ่งการทาครีมที่คอนั้น ให้ใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้า โดยเริ่มจากบริเวณที่กว้างที่สุดของคอก่อน คือบริเวณฐานลําคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อย ๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลง เพราะจะทําให้ผิวบริเวณลําคอหย่อนทําให้เกิดรอยย่นภายหลังได้
    สําหรับการทาครีมรอบดวงตา ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา ขอย้ำว่าต้องนิ้วนางเท่านั้นในบริเวณนี้ เพราะจะให้น้ำหนักกดที่เบาที่สุด โดยไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา จะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้

    จากนั้นวนครีมรอบ ๆ ดวงตา จะวนเข้าหรือวนออกได้ตามถนัด แต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง





ที่มา ... ดาราเดลี่

เคล็ดลับการดูแลให้ "นมเด้ง" ตลอดกาล



       เต้านม-สิ่งที่บ่งบอกความเป็นเพศหญิง ทุกคนย่อมอยากมีหน้าอกที่สวยได้รูป เมื่ออกย้อย คล้อย เสียรูป เสียทรงจึงเป็นปัญหาหนักอกที่สาวน้อย สาวใหญ่ หวั่นวิตก และหันมาใช้ผลิตภัณฑ์นมเด้งที่มีอยู่เกลื่อนตลาด
      อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเลือกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ดูแลหน้าอกก็มีเรื่องที่ควรรู้และต้องระมัดระวัง ภายในเต้านมประกอบด้วยส่วนของเนื้อเยื่อสร้างน้ำนมและเนื้อเยื่อไขมันวางอยู่บน กล้ามเนื้อทรวงอก ซึ่งจะทำหน้าที่เหนี่ยวรั้งน้ำหนักของเต้านมไว้ให้ตั้งขึ้นและเต่งตึงเสมือนหนึ่งเป็นเสื้อยกทรงธรรมชาติ แต่เมื่อสรีระของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น มีการเพิ่มหรือลดของน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว หรือหญิงในวัยใกล้หรือในวัยหมดประจำเดือน เต้านมจะหย่อนยานอย่างชัดเจน กลายเป็นปัญหาหนักอกหนักใจของผู้หญิงหลายต่อหลายคน

     สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้เต้านมหย่อนยาน เกิดจากหลายๆ ปัจจัย คือ มีการลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก รูปร่างอ้วน มักจะมีไขมันสะสมพอกพูนบริเวณเต้านมมาก เมื่อลดน้ำหนักอย่างฮวบฮาบ โดยอาศัยยาลดน้ำหนัก ทำให้ส่วนที่หายไปก่อนคือไขมันส่วนเกินนั่นเอง ผิวหนังภายนอกที่เคยขยายและอุ้มน้ำหนักเต้านมและไขมันส่วนเกินไว้ก่อนหน้านั้น จึงห้อยและหย่อนยานตามสรีระ เนื่องจากกล้ามเนื้อภายในเต้านมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพิ่มเติม

     อีกประการหนึ่งคือ หญิงในวัยใกล้และในวัยหมดประจำเดือน เต้านมจะหย่อนยานตามธรรมชาติ เนื่องจากการลดลงของปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนในกระแสเลือด ฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกผลิตและปลดปล่อยออกจากต่อมเนื้อเยื่อ และอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าสู่กระแสเลือดไปยังเนื้อเยื่อและส่วนต่างๆของร่างกายที่มีสถานีรับ ฮอร์โมนชนิดนี้

    หน้าที่สำคัญของเอสโตรเจนคือควบคุมการเจริญเติบโตของเต้านม รังไข่ ช่องคลอดและการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง นอกจากนั้น ยังมีความสำคัญยิ่งต่อการเสริมสร้างเนื้อเยื่อของกระดูก ป้องกันกระดูกพรุนซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเปราะและแตกหัก ของกระดูก

   หน้าอกไม่เด้งดังใจ หย่อนยานก่อนวัย ทำอย่างไรดี        หากไม่อยากให้นมหย่อนยานก่อนวัย คือ ไม่ควรลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ควรจำกัดอาหารไขมันควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ที่เหมาะสม เช่น การว่ายน้ำ ซึ่งถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด วิธีดังกล่าวจะช่วยลดไขมันส่วนเกินพร้อม ๆ กับการกระชับกล้ามเนื้อภายในให้เต่งตึงได้ดี ผิดกับการวิ่งที่กลับจะทำให้หน้าอกหย่อนคล้อยมากขึ้น

    สำหรับหญิงวัยทองซึ่งร่างกายมีการผลิตเอสโตรเจนลดน้อยลงตามธรรมชาติ อาจจะเสริมด้วยอาหารที่มี ส่วนผสมของ “ไฟโตเอสโตรเจน” คำว่า “ไฟโต” แปลว่าพืช หมายถึงสารที่มีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แม้ว่าจะมีประสิทธิผลต่ำกว่าฮอร์โมนถึง 100 – 1,000 เท่าก็ตาม ทั้งนี้ สารไฟโตเอสโตรเจนจะพบมากในถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง เต้าหู้ และสมุนไพรอื่น ๆ เช่น กาวเครือ เป็นต้น

    อย่างไรก็ดี จากการวิจัยทางการแพทย์พบว่า การที่ร่างกายได้รับสารไฟโตเอสโตรเจนเข้าไปในร่างกายนั้น มีทั้งข้อดี เช่น สามารถทดแทนฮอร์โมนที่ลดน้อยลงได้และสามารถกระตุ้นให้เต้านมเต่งตึงขึ้น ผิวมีน้ำมีนวลขึ้น อาการหงุดหงิดลดน้อยลง ส่วนข้อเสีย คือ ต้านฤทธิ์ของฮอร์โมนเอสโตรเจนต่อร่างกายลดลง

    ส่วนผู้ที่อยู่ในวัยเด็ก หรือวัยรุ่น(วัยเจริญพันธุ์) ไม่สมควรจะรับประทานอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจนมากเกินไป หรือไม่ควรหาซื้อผลิตภัณฑ์นมเด้งที่มีส่วนผสมของไฟโตเอสโตรเจนมาทาถูนวดที่เต้านม เพราะจะให้ผลในทางตรงกันข้าม ทั้งนี้ หญิงในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตรก็ไม่ควรรับประทานหรือทาถู เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไฟโตเอสโตเจน รวมถึงผู้ที่มีปัญหาโรคทางเต้านมทั้งหลาย ก็ควรจะระวังเช่นกัน

   ผลิตภัณฑ์ “นมเด้ง” ได้ผลจริงหรือ        ผลิตภัณฑ์นมเด้ง อย่างครีมนมเด้งซึ่งใช้ถูนวดนั้นไม่ต่างอะไรกับ “มอยเจอร์ไรเซอร์” ที่ช่วยให้ผิวแลดูชุ่มชื่นเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้นมเด้ง อย่างที่คาดหวังกันเอาไว้ หรือในกรณีการตบนมที่เคยเป็นข่าวก็ไม่ได้เกิดผลรวดเร็วดังใจ เพราะการตบนมเสมือนการออกำลังกายของเต้านม ที่ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เหมือนเช่นการเดินมากๆ ที่ทำให้น่องโต เป็นต้น ส่วนไหนจุดไหนทำงานมากกล้ามเนื้อก็แข็งแรง กระชับ แต่ก็เสียงต่อการเกิดมะเร็ง เนื่องจากการตบนมจะไปกระตุ้นการเกิดเซลล์ใหม่ๆ ที่อาจผิดปกติ
     ส่วนของสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์ที่รับประทานเข้าไป เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญมากมายต่อการเจริญเติบโต ของเนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างกาย สามารถช่วยเหลือสตรีในวัยทองได้จริงแต่การใช้ครีมคงไม่มีผลอะไรมากนัก ที่พึ่งสุดท้ายจึงเป็นการทำศัลยกรรม ซึ่งต้องถามตัวเองก่อว่า เป็นสิ่งจำเป็นขนาดนั้นหรือไม่

   เคล็ด 5 วิธีดูแลอกให้สวยนาน    

    1. บำรุงด้วยครีม ผิวรอบหน้าอกเป็นผิวที่บอบบาง เกิดความแห้งได้ง่าย เพื่อให้ผิวอกชุ่มชื้นนุ่มนวลอยู่เสมอ ควรบำรุงด้วยครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอลเพื่อป้องกันริ้วรอยย่นยาน สร้างความชุ่มชื้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้แข็งแรง รวมทั้งต้องปกป้องจากแสงแดด แล้วอย่าลืมบริเวณหัวนมด้วยเช่นกัน จึงต้องบำรุงเป็นประจำด้วยครีมที่มอบความชุ่มชื้นสูงอย่างวาสลีนก็ได้
    2.เสื้อชั้นในมีโครง การชะลอความหย่อนยานด้วยเสื้อชั้นในแบบมีโครงพยุง สามารถช่วยชะลอความหย่อนยานให้ช้าลงได้ เนื่องจากเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ต่อมน้ำนมและคอลลาเจนจะหดตัวลงแล้วถูกแทนที่ด้วยไขมันมากมายเกิดการหย่อนคล้อยลง ดังนั้นไม่ว่าจะมีหน้าอกแบบไหน เล็กใหญ่ไม่สำคัญ แต่ควรสวมเสื้อชั้นในแบบมีโครงช่วยพยุงอกเอาไว้
    3. ครีมกันแดด หน้าอกก็โดนแดดเผาได้เหมือนกัน หากจะเลือกออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ หากไปทะเลหรือต้องออกแดดจัดๆ อย่าลืมทาครีมกันแดดด้วยครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 เป็นอย่างน้อย ที่จะช่วยปกป้องจากรังสียูวีเอและบี ไม่เช่นนั้นหน้าอกจะถูกทำร้ายจากแสงแดดเต็มๆ จนก่อให้เกิดเป็นริ้วรอยก่อนวัยและจุดด่างดำ
    4. ท่าทางการนอน ไม่น่าเชื่อว่าท่าทางการนอนก็ส่งผลกับรูปร่างหน้าอก แต่การนอนคว่ำหน้าไม่ได้ทำให้หน้าอกเล็กลงแต่อย่างใด แต่การกดหน้าอกลงบนที่นอนเป็นประจำ จะทำให้หน้าอกผิดรูปผิดร่างไป ท่าการนอนที่ดีคือนอนตะแคง แล้วมีหมอนรองหน้าอกเพื่อช่วยพยุงไว้ขณะหลับ
    5.ป้องกันสิว ผิวบนหน้าอกและร่องอกเต็มไปด้วยต่อมไขมัน และมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบได้ ยิ่งหน้าอกใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นที่เก็บกักเหงื่อเอาไว้ ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวได้ จึงควรทาแป้งบริเวณใต้และร่องอกเพื่อให้ผิวบริเวณนั้นแห้ง และควรทำความสะอาดเป็นประจำทุกวันด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แล้วตามด้วยโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิก แอซิด โดยเฉพาะหลังจากการออกกำลังกาย อย่ากลับบ้านไปพร้อมกับบราที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เพราะจะทำให้เกิดเป็นสิวที่หน้าอกได้






ที่มา ...clinicceo
อ้างอิงจากบทความของ รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล มหาวิทยาลัยมหิดล

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ IPL




           IPL (ย่อมาจาก Intense Pulsed Light) เป็นเครื่องมือที่ให้ลำแสงที่มีความเข้มข้นสูง มีความยาวของคลื่นแสงตั้งแต่ 515 ถึง 1,200 นาโนเมตร และสามารถปรับความยาวของคลื่น และระยะเวลาการปล่อยลำแสงที่พอเหมาะในการใช้งาน โดยการใช้ฟิลเตอร์

          หลักการทำงานของ IPL แตกต่างจาก Laser ตรงที่คลื่นแสงที่ถูกปล่อยออกมา จะมีช่วงความยาวของคลื่นแสงที่กว้างกว่า

          IPL ถูกนำมาใช้งานในการรักษารอยโรคบางชนิดบนผิวหนัง และใช้ในการปรับสภาพผิวหน้าในผู้ป่วย ปัจจุบันมีเครื่อง IPL หลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป

    รอยโรคทางผิวหนังที่สามารถรักษาได้โดย IPL ได้แก่

          1. รอยโรคของเส้นเลือด เช่น ปานแดงตั้งแต่กำเนิด, จุดเส้นเลือดขอด

          2. รอยโรคที่เกิดจากเม็ดสีของผิวหนัง เช่น ปานดำตั้งแต่กำเนิด, กระ, ฝ้า เป็นต้น

          3. การถอนขน

          4. การปรับสภาพผิวหน้าให้กระชับ

          5. การรักษาสิวโดยใช้ร่วมกับสารเคมีบางชนิด เช่น 5-ALA

          6. การรักษาแผลเป็นนูน

            การรักษาโดย IPL สามารถทำในลักษณะผู้ป่วยนอกได้เหมือนการทำ Laser โดยทั่วไปใช้ระยะเวลาในการรักษา 4 - 6 ครั้ง แต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที เว้นระยะห่างครั้งละ 3 - 6 สัปดาห์

    ข้อดีของการรักษาโดย IPL ได้แก่

          1. ลำแสงของ IPL จะไม่ทำลายผิวหนังชั้นบนสุดซึ่งแตกต่างจาก Laser

          2. ไม่ทำให้เกิดบาดแผล

          3. ใช้เวลาในการรักษาแต่ละครั้งน้อย และผู้ป่วยสามารถทำงานได้ตามปกติ

    ผลข้างเคียงของการรักษาโดย IPL เกิดขึ้นบ้างแต่ไม่รุนแรง เช่น

          1. อาการเจ็บขณะที่ทำการรักษา

          2. ในบางรายอาจมีผิวหนังแดง

          3. ปวดแสบร้อน ซึ่งมักจะพบได้ใน 2 - 3 วัน หลังให้การรักษา

          4. บางรายอาจจะเกิดเป็นรอยด่างขาว ซึ่งจะค่อย ๆ จางหายได้เอง


            ในบางรายอาจจะมีสีของผิวหนังเข้มขึ้นได้ แต่สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงแสงแดดหรือใช้ครีมทากันแดด เป็นต้น









ที่มา ... สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย โดย อ.นพ.สิทธิโชค ทวีประดิษฐ์ผล