วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เลือก แว่นกันแดด ให้เหมาะ



      ถ้าคนที่อินอยู่ในเรื่องของแฟชั่นไม่เพียงแต่เสื้อผ้า หน้า ผมเท่านั้นที่จะต้องตามติดกันอย่างไม่ลดละ เรื่องของ แว่นกันแดด ก็ต้องอินเทรนด์ไม่แพ้กัน

     นอกจากรูปทรงที่ส่งบุคลิกให้ดูเก๋ไก๋เข้ายุคเข้าสมัยแล้ว ยังมีคุณประโยชน์ช่วยป้องกันการปะทะสารพัดรูปแบบ ทั้งกันฝุ่น กันลม กันเชื้อโรคแล้ว ยังช่วยกระจายแสงลดความจ้าของแสงแดด แสงสว่างที่เข้ามากระทบดวงตาได้ด้วย
     เรื่องนี้สำคัญเพราะความจ้า ความสว่างจากแสงแดด นี้เจ้าตัวร้ายที่เรียกว่ายูวี หรือรังสีอัลตราไวโอเลต

     จะแฝงตัวเข้ามาทำร้ายดวงตาจนอาจทำให้เกิดโรคตาต่างๆ อาทิ ต้อลม ต้อเนื้อ เป็นต้น

     ปัญหาก็คือ เราจะรู้หรือเลือกได้อย่างไรว่า แว่นตาที่วางขายอยู่ในปัจจุบันจะช่วยป้องกันอะไรได้บ้าง หรือถ้าป้องกันจะต้องป้องกันอะไร ขนาดไหน ?
     พ.ญ.ยุพิน ลีละชัยกุล จักษุแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า "ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอากาศที่มีแดดจ้า หรือมีเมฆหมอกปกคลุมแว่นกันแดดที่ได้มาตรฐานนั้นจะต้องกรองรังสียูวีบี (UVB) รังสีที่อยู่ในความถี่ 280-315 นาโนเมตรได้ และต้องป้องกันปริมาณรังสียูวีเอ (UVA) ที่อยู่ในย่านความถี่ 100-280 นาโนเมตรได้"
     ส่วนเลนส์ที่นำมาใช้เป็นแว่นกันแดดนั้น ในปัจจุบันที่นิยมมีอยู่ 3 ชนิด นั่นคือ เลนส์แก้ว (glass) ที่จะมีความใสและทนการขูดขีดมากกว่าเลนส์พลาสติก แต่จะหนักและแตกได้ด้วย เลนส์พลาสติก (CR 39 plastic) ที่แพร่หลายที่สุดตอนนี้ทำจากวัสดุ CR-39 สามารถทนแรงขูดขีดได้ดี ช่วยกรองรังสียูวีและอินฟราเรดได้ดี และ เลนส์พลาสติกชนิด โพลีคาร์บอเนต (polycarbonate plastic) เลนส์ชนิดนี้จะมีน้ำหนักเบาที่สุด ทนทานต่อแรงกระแทกได้ดีมาก จึงมักนำมาใช้ในการทำ แว่นกีฬา หรือกิจกรรมโลดโผน เพราะให้ความปลอดภัยจากอันตรายต่อดวงตา ได้ดีที่สุด
     ในการที่จะเลือกใช้แว่นกันแดดให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ปรารถนา พีรานนท์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ แว่นกันแดด บริษัท ดีทแฮล์ม จำกัด มีข้อแนะนำว่า

    1. ในกิจกรรมกลางแจ้ง ควรเลือกแว่นที่มีความเข้มเต็มเท่ากันทุกส่วนของเลนส์ และควรเลือกเลนส์ที่เขียวและเทา จะช่วยลดความจ้าของแสงและช่วยให้การมองเห็นเป็นธรรมชาติที่สุด

    2. สำหรับการใช้แว่นในช่วงแสงน้อย หรือฟ้าครึ้มๆ ควรเลือกแว่นที่มีความเข้มแบบไล่สี ไล่บนเข้มมากลงไปเข้มน้อย เพื่อลดการสะท้อนของแสงและรังสี UV ควรเลือกเลนส์สีฟ้าใส สีใส หากต้องขับรถในเวลากลางคืน ระหว่างฝนตก เลนส์สีเหลืองจะช่วยให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นในระยะไกลดีขึ้น

    3. ในช่วงอากาศร้อน ไม่ควรถอดแว่นที่มีวัสดุพลาสติกวางไว้หน้ารถ เพราะอาจทำให้แว่นเปลี่ยนรูปทรงได้ ควรเก็บแว่นไว้ในกล่อง ไม่ควรเก็บใส่กระเป๋าหรือเหน็บเสื้อเพราะอาจทำให้แว่นเป็นรอย

    4. การสวมและถอดแว่นทุกครั้ง ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้างจับที่ขาแว่นทั้ง 2 ข้าง ถ้าสวมควรสวมจากด้านบนศีรษะ แต่ถ้าถอด ต้องดึงออกในแนวตรงเพื่อการรักษาสมดุลไม่ให้กรอบแว่นเสียรูปทรง

    5. ควรดูแลทำความสะอาดแว่น ด้วยผ้าเช็ดแว่นหรือน้ำยาทำความสะอาดแว่น อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และผ้าที่ใช้ควรเป็นผ้าที่อ่อนนุ่มหรือผ้าเช็ดแว่นโดยเฉพาะ เลือกให้เหมาะ ดูแลให้ถูก จะช่วยยืดอายุแว่นกันแดดให้เป็นเกราะป้องกันดวงตาของคุณๆ ไปได้อีกนาน







ที่มา .. ประชาชาติธุรกิจ

ค่า SPF กับ PA บนครีมกันแดด



         ปัจจุบันครีมกันแดดที่ขายกันทั่วไปในห้างสรรพสินค้า หรือ ตามร้านค้า มีบางยี่ห้อบอกว่า มี SPF ที่ 130 และนอกจากนั้นถ้าคุณสังเกตเพิ่มอีกจะพบว่า มีสัญลักษณ์คำว่า “PA” แสดงหลังค่า SPF อยู่ เช่น SPF15 PA++ แล้ว “SPF” มันคืออะไร แล้วยังจะ “PA” อีกล่ะมันบอกอะไร แล้วเรามาเรียนรู้กันว่า เราควรใช้ SPF ที่มีค่าสูง ๆ หรือไม่?    
   ครีมกันแดด ทำงานอย่างไร
        ส่วนผสมในครีมกันแดดจะทำหน้าที่ในการปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการดูดซับรังสี ,ป้องกันแสง UV ไม่ให้ผ่านเข้าไปถึงชั้นผิว หรือทำให้รังสี UV แตกกระจายออกไปเพื่อไม่ให้เข้าทำร้ายผิวโดยตรง สำหรับคำแนะนำในการใช้ครีมกันแดด ครีมกันแดด ที่ดีที่สุด คือครีมกันแดดที่สามารถที่จะป้องกันแสง UV ได้เพียงพอ(ซึ่งอาจจะขึ้นกับความแรงของแสง) เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรทาครีมกันแดดก่อนออกไปสู่ที่มีแสงแดด 30 นาที(ส่วนใหญ่มักจะพบคำแนะนำนี้ตามขวดของครีมกันแดดกันนะ)

   แล้ว SPF คืออะไร
       SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor โดยค่าของการปกป้องแสงแดด ถูกกำหนดด้วยระบบของ SPF เอง โดยส่วนใหญ่จะคำนวณจากปริมาณจากการป้องกันรังสี UVB

       ตัวเลขของ SPF บ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากการถูกเผาไหม้จากแสงแดด ได้นานเท่าไหร่ เช่น SPF15 หมายถึง ป้องกันผิวจากการไหม้ได้ 15 เท่า เช่น ปกติคุณออกไปสู่แดดโดยไมได้ทาครีมกันแดดแล้วผิวไหม้ภายใน 20 นาที ถ้าหาก ทาครีมกันแดด SPF15 แล้ว จะทำให้การที่ผิวจะถูกแสดงแดดทำลายผิวให้ไหม้นั้น ต้องใช้เวลา เป็น 15 เท่าของ 20 นาที หรือ ประมาณ 300 นาที(5 ชั่วโมง) ผิวถึงจะถูกไหม้จากแสงแดด(ปกติถ้าไม่ใช่งานกลางแจ้งแล้วก็คงไม่ออกไปหาแดด ถึง 5 ชั่วโมงหรอกนะ ร้อนจะตาย )

   ทำไม SPF สูง ก็ไม่ได้ดีกว่าเสมอไป        โดยทั่วไป ครีมกันแดด SPF ประมาณ 15 ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในแถบเอเชียอย่างเรา แต่สำหรับคนที่ผิวไวต่อแดด หรือถูกผิวถูแผดเผาให้หมองคล้ำได้ง่ายนั้น ใช้ SPF 30 ก็ถือว่าเพียงพอที่จะปกป้องผิวได้แล้ว แต่ถ้าอยากใช้ที่มีค่า SPF เยอะกว่านี้ ก็ไม่ว่ากันค่ะ

     1. การใช้ค่า MED นี้ อาจไม่สะท้อนถึงประสิทธิภาพภายในการป้องกันผิวหนัง จากการทำลายของแสงแดด นั่นคือยากันแดดถึงจะป้องกันไม่ให้ผิวหนังแดงได้ แต่ก็ยังอาจเกิดการเสื่อมของผิวหนังขึ้นแล้ว

     2. ปริมาณของการใช้ยากันแดดในการหาค่ามาตรฐาน คือ ต้องทายากันแดด 2 มิลลิกรัมต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตรนั้น นับว่ามากกว่าปริมาณการใช้ในชีวิตจริง คนปกติจะทายากันแดดแค่ 0.5 ถึง 1 มิลลิกรัมต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตรเท่านั้น ทั้งนี้เพราะ หากทายากันแดดมากไปจะเกิดปัญหาด้านความมันและความสวยงาม

       สำหรับยากันแดดชนิดที่ละลายน้ำได้น้อยนั้น มีชื่อคือ         Water resistant หมายถึงการหาค่า SPF หลังอยู่ในน้ำ 40 นาที
        Waterproof (=very water resistant) หมายถึงการหาค่า SPF หลังอยู่ในน้ำ 80 นาที

         โดยการใช้ยากันแดดตามค่า SPF นี้มักดูตามลักษณะของสีผิวคือ
          1. ถ้าผิวไหม้แดดง่าย โดยผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนยาก ใช้ค่า SPF 20-30 (Ultra high)
          2. ถ้าผิวไหม้แดดง่าย โดยผิวอาจมีสีแทนนิดหน่อย ใช่ค่า SPF 12-20 (Very high)
          3. ถ้าผิวไหม้แดดปานกลาง และผิวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแทนใช้ค่า SPF 8-12 (High)
          4. ถ้าผิวไหม้แดดได้น้อย และผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนได้เสมอ ใช่ค่า SPF 4-8 (Moderate)
          5. ถ้าผิวไหม้แดดยากมาก และผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนได้อย่างมาก ใช้ค่า SPF 2-4 (Minimal)

       ถ้าดูตามนี้จริงๆ แล้ว อย่างผมซึ่งน่าจะจัดว่าอยู่ในกลุ่มที่ 5 คือโดนแดดอย่างไร ก็ไม่ไหม้เสียที จะมีก็แต่ผิวคล้ำดำปี๋ ก็ควรจะใช้ SPF แค่ 2-4 เท่านั้นเอง

          เมื่อดูจากค่า SPF และปริมาณการดูดซับรังสียูวีบี พบว่า
           ค่า SPF เท่ากับ 2 จะดูดซับ UVB ได้ 50%
           ค่า SPF เท่ากับ 4 จะดูดซับ UVB ได้ 75%
           ค่า SPF เท่ากับ 8 จะดูดซับ UVB ได้ 87.5%
           ค่า SPF เท่ากับ 15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3%
           ค่า SPF เท่ากับ 20 จะดูดซับ UVB ได้ 95%
           ค่า SPF เท่ากับ 30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7%
           ค่า SPF เท่ากับ 45 จะดูดซับ UVB ได้ 97.8%
           ค่า SPF เท่ากับ 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%


        จะเห็นว่า ค่า SPF หลังจาก 30 แล้ว ค่าที่จะป้องกัน แสง UV ก็ไมได้เพิ่มขึ้นมากเท่ากับ SPF ที่เพิ่มขึ้น
เมื่อผู้บริโภคตระหนักถึงความสำคัญของครีมกันแดดแล้ว ก็จะคิดว่า ถ้าหากค่า SPF สูง ๆ ย่อมที่จะป้องกันแสงแดดได้ดีกว่าแน่นอน เราจึงเห็นครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 100 ขายกันอยู่ เพื่อเป็นจุดขาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดูตลกมากๆ

        ค่า SPF สูง ๆ นั้น ไม่ได้หมายความว่า จะปกป้องแสดงแดดได้ดีไปกว่า ค่า SPF ที่ต่ำกว่า ในความเป็นจริงแล้ว ค่า SPF สูง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย และยังเป็นไปไปได้ว่าอาจจะมีผลข้างเคียงที่อาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้เช่นอาจจะเกิดผดผื่นคันได้ นอกจากนี้ยังอาจจะทำให้สีผิวของเราไม่สม่ำเสมอ เกิดรอยด่างขึ้นได้ และยังอาจจะทำให้เสื้อผ้าเป็นคราบสีเหลืองติดเสื้อผ้าอีกด้วย

        จึงแนะนำว่าควรใช้ยากันแดดค่า SPF สูง (15 ขึ้นไป) ในกรณีที่ต้องตากแดด เป็นเวลานานติดต่อกันและใช้ค่า SPF ต่ำ ในกรณีที่โดนแดดเป็นครั้งคราวระหว่างวัน

   PA คืออะไร    
        ครีมกันแดดใหม่ ๆ ที่วางขายกันในตลาดมักประกอบไปด้วย UVA Filter และค่าที่วัดการป้องกันรังสี UVA เรียกว่า PA

       PA ย่อมาจากคำว่า Protection Grade of UVA ในขณะนี้ยังไม่มีหน่วยวัดที่เป็นมาตรฐานในการวัดค่าการดูดซืมของรังสี UVA ดังนั้นจึงถือเอาคำว่า PA เป็นหน่วยวัดรังสี UVA อย่างไม่เป็นทางการ

       ค่า PA นั้นจะมี 3 ระดับคือ PA+,PA++ และ PA+++
       PA+++ นั้นสำหรับผู้ที่ต้องการ การปกป้องสูง (เจอกับแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน)       PA+ สำหรับผู้ที่ต้องการปกปกแสงแดด จากกิจกรรมทั่ว ๆไป (อาจจะไม่ได้เจอกับแสงมากนัก)
         ดังนั้นสำหรับใครที่จะต้องเจอกับแสงแดดเป็นเวลาหลายชั่วโมง ให้เลือก PA++ หรือ สูงกว่านี้







ที่มา ... shoppinglifestyle.com
การประชุมของสมาคมศิษย์เก่าสถาบันโรคผิวหนัง


น้ำมันตับปลา ที่คุณควรระวัง



       หลายคนนิยมรับประทานยาบำรุง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือวิตามินหลายๆ ชนิด แต่คุณจะรู้หรือไม่ว่าที่คุณรับประทานเข้าไปนั้น มีส่วนประกอบของสารอะไรบ้าง และแต่ละอย่างมีคุณสมบัติ และผลต่อร่างกายอย่างไร? อย่าคิดว่าไม่สำคัญนะครับ ลองฟังเรื่องที่ ผมจะเล่า ต่อไปนี้ แล้วคุณจะต้องรีบกลับไปอ่านฉลากยา.....

       เรื่องราวมีอยู่ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง อายุอานามก็อยู่ในวัยห้าสิบต้นๆ ยังเป็นโสด และใส่ใจในสุขภาพของตนเป็นอย่างมาก ในแต่ละวันเธอจะรับประทานยาบำรุงชนิดต่างๆ 4-5 ชนิดเป็นประจำ รวมทั้งน้ำมันตับปลาด้วย ปกติก็เป็นคนแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัวอะไร แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งฟ้ากำหนดให้เข้ารับการผ่าตัด เมื่อแพทย์ตรวจพบว่า มีปัญหาริดสีดวงทวารที่เป็นค่อนข้างมาก แพทย์ที่ทำการผ่าตัดก็อธิบายให้ฟังว่า เป็นการผ่าตัดธรรมดาไม่ได้ใหญ่โตอะไร ใช้เวลาไม่นานซึ่งเจ้าตัวก็รู้สึกผ่อนคลายไปได้ เนื่องจากไม่เคยได้รับการผ่าตัดมาก่อน

      และก็เป็นธรรมดาที่ก่อนการผ่าตัด จะต้องมีการสอบถามรายละเอียด ว่ามีโรคประจำตัวอะไรบ้างไหม? เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ หากว่ามีก็จะต้องมีการเตรียมตัวหลายอย่าง ก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัด แต่เธอผู้นี้ก็เป็นผู้มีสุขภาพดี แพทย์สอบถามถึงหยูกยาที่รับประทานเป็นประจำ เธอก็บอกว่าเป็นยาบำรุงทั่วไป 4-5 ชนิด โดยที่ไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียด เนื่องจากคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร?

      แต่มนุษย์กำหนดหรือจะสู้ฟ้าลิขิต สตรีท่านนี้เข้ารับการผ่าตัดด้วยความกังวลเล็กน้อย เนื่องจากไม่เคยผ่าตัดมาก่อน ในห้องผ่าตัด แพทย์ก็ผ่าตัดไปอย่างเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร แต่เกมส์ยังไม่จบ ตัดสินแพ้ชนะยังไม่ได้ หลังผ่าตัดเธอมีเลือดซึมออกมามากกว่าปกติ จนแพทย์ต้องหาสาเหตุกันยกใหญ่ ว่าทำไมจึงมีเลือดออกมามากกว่าปกติอย่างนั้น

       แพทย์ทางโรคเลือดต้องเข้าไปตรวจสอบ พบว่าการที่ผู้หญิงคนนี้มีเลือดออกมามากกว่าปกตินั้น เนื่องจากการทำงานของเกล็ดเลือดผิดปกติ ซึ่งประวัติของเธอไม่เคยมีมาก่อน เคยถอนฟัน เคยมีบาดแผลแต่ก็ไม่เคยมีปัญหาเลือดออกไม่หยุด 

       ความจริงปัญหาของเกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรก เป็นความผิดปกติแต่กำเนิด เป็นมาตั้งแต่เกิด โดยได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรษ ซึ่งก็มีอยู่หลายโรคด้วยกัน กลุ่มที่สองเกิดขึ้นภายหลัง ซึ่งอาจเป็นความผิดปกติของเกล็ดเลือดเอง (เป็นโรคของเกล็ดเลือด) หรืออาจจะเป็นผลจากสิ่งแวดล้อม เช่น จากสารเคมีต่างๆ ที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด โดยทั่วไปเกล็ดเลือดของเราเองจะมีอายุขัยประมาณ 7 วัน ร่างกายมีการสร้างเกล็ดเลือดขึ้นมาตลอดเวลา หากเป็นความผิดปกติของเกล็ดเลือดเอง ก็จะเป็นแบบถาวร แต่ถ้าหากเป็นผลจากสิ่งแวดล้อม เช่น จากการรับประทานยาบางชนิด หากหยุดยาแล้ว เกล็ดเลือดที่ผิดปกติก็จะค่อยๆ หมดไป ในระยะเวลาประมาณ 7 วัน เกล็ดเลือดตัวใหม่ๆ ที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมา ก็จะสามารถทำหน้าที่ของมันได้ตามปกติ

      ในกรณีของสตรีรายนี้ไม่เคยมีประวัติเลือดออกผิดปกติมาก่อน ไม่มีประวัติความผิดปกติของเกล็ดเลือดในครอบครัว ทำให้มีความเป็นไปได้น้อยที่จะมาจากความผิดปกติมาแต่กำเนิด การค้นหาสาเหตุจึงมุ่งไปที่ความผิดปกติ ที่เกิดขึ้นภายหลังโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากยาและสารเคมีต่างๆ ที่ได้รับทั้งยาจีน และยาไทยแผนโบราณบางชนิด ก็มีผลกับการทำงานของเกล็ดเลือดได้ แต่เธอผู้นี้ไม่ได้ใช้ยาแผนโบราณมาก่อน ก็เป็นอันตัดทิ้งไป หันมาดูยาแผนปัจจุบันที่ใช้ ซึ่งมีวิตามินนานาชนิด มากมายตั้งแต่ A-Z รวมทั้งน้ำมันตับปลาด้วย หลายคนคงเคยรับประทาน และบางคนก็รับประทานเป็นประจำ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าน้ำมันตับปลามีสาร ที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดด้วย โดยทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติเช่นเดียวกับ แอสไพริน และยาที่มีอยู่ทั่วไปในยาแก้ปวดที่ไม่ใช่ สเตียรรอยด์ (NSAIDs : nonsteroidal anti- inflammatory drugs) ไม่นับรวมพาราเซตามอน ซึ่งไม่มีผลต่อเกล็ดเลือด ดังนั้น ถ้าได้รับยาที่อาจมีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด จะต้องหยุดยาก่อนการผ่าตัดประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้เกล็ดเลือดตัวใหม่ที่สมบรูณ์ และไม่ได้รับผลกระทบจากยาเข้ามาแทนที่

       การรักษาสตรีรายนี้จะต้องได้รับเกล็ดเลือดที่ปกติ (ของคนอื่น) เข้าไปทำหน้าที่แทนเกล็ดเลือดที่ผิดปกติของตนเอง เลือดจึงหยุดไหลและสามารถกลับบ้านได้โดยปกติ พร้อมกับบทเรียนที่ว่าถ้าจะรับประทานยาอะไร? ก็ควรรู้ว่ามันคือยาอะไร? และมีผลต่อร่างกายอย่างไร? หากเป็นยาแผนปัจุบัน ปัญหาก็จะน้อยหน่อย ตรงที่เราจะรู้รายละเอียดของยาอย่างครบถ้วน แต่ถ้าหากเป็นยาแผนโบราณ ทั้งยาจีนและยาไทย กระทั่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แพทย์เองก็อาจจะมึนศีรษะได้ เนื่องจากจะไม่รู้ว่าฤทธิ์ของยาเป็นอย่างไร และผลข้างเคียงมีอะไรบ้าง หากจะเข้ารับการผ่าตัด คงต้องมีการตรวจสอบกันอย่างละเอียดลออสักหน่อย มิเช่นนั้นอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่คาดไม่ถึงขึ้นได้

       แล้วคุณละครับ? รับประทานยาอะไรอยู่บ้าง รู้จักมันดีแล้วหรือยัง? ยังไม่สายนะครับที่จะกลับไปย้อนอ่านเอกสารกำกับยาใหม่อีกครั้ง และที่สำคัญต้องบอกหมอประจำตัวคุณให้หมดด้วยว่า รับประทานยาหรือผลิตภัณฑ์ใดเป็นประจำอยู่บ้าง











ที่มา ... HealthToday

 

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แต่งหน้ากระชากวัยไป 10 ปี



        คุณสามารถย้อนวัยกลับคืนได้ด้วยการแต่งหน้าเพิ่มลุคส์สุดเจิดจ้าดังวัยแรกรุ่น แต่คุณจะทำที่บ้านได้อย่างไรล่ะ "เพียงแค่ปฏิบัติตามทริคง่าย ๆ และใช้ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยสม่ำเสมอ" ซาร่าห์-เจน กรีน, ช่างแต่งหน้ามืออาชีพผู้แต่งหน้าย้อนวัยให้คนดังในฮอลลีวู้ดมาแล้วบอก

    ส่องประกายให้ผิว

       ผิวของผู้ใหญ่จะแห้งและบางเหมือนกระดาษจึงต้องดึงเอาเลือดฝาดเปล่งปลั่งกลับมา ด้วยการมองหาผลิตภัณฑ์ผสมกากเพชร หลีกเลี่ยงรองพื้นหนาหนักและใช้มอยส์เจอไรเซอร์ทินท์หรือครีมทาผิวสีแทนเพื่อทำให้ใบหน้าคุณดูมีสีสันมากขึ้น คุณจะได้ลุคส์ที่ดูเบาขึ้น

    ผิวใต้ตาสว่างสดใส

      ใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดรอยคล้ำใต้ตา ซาร่าห์ แนะให้ใช้แปรงปัดขนาดเล็กเกลี่ยรอบดวงตาให้เรียบ เพื่อซ่อนสีผิวคล้ำ หลังจากปกปิดด้วยแปรงดแล้วให้ใช้นิ้วก้อยเกลี่ยคอนซีลเลอร์เบา ๆ

    ง่าย ๆ ไปกับแป้งฝุ่น

      แป้งอัดแข็งอาจทำให้ริ้วรอยชัดเจนขึ้น ทริคง่าย ๆ คือการผสมแป้งฝุ่นกับแปรงปัดที่ใหญ่ที่สุด นิ่มที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้ซาร่าห์ ใช้แปรงขนาดใหญ่และนิ่มแตะแป้งฝุ่นบาง ๆ กับละอองบรัชออนสีกุหลาบบนโหนกแก้มและขมับ จะทำให้คุณดูสวยเป็นธรรมชาติมากกว่าใช้อายไลน์เนอร์เพียงอย่างเดียว

    ทาปากสีสดใส

      ลิปสติกสีสดนั้นแรงเกินไป คุณคงไม่อยากดูเหมือนตัวตลกหรอก เพราะฉะนั้นใช้ลิปกลอสสีชมพูแทนดีกว่า ซาร่าห์บอกว่าให้ใช้ดินสอวาดโครงดินสอครีมเขียนขอบปากสีชมพูอ่อน แล้วเติมให้เต็มด้วยลิปสีเดียวกัน จากนั้นก็ทาลิปกลอสรสผลไม่ให้แวววาว ทาลิปกลอสตรงกลางริมฝีปาก จะช่วยให้ริมฝีปากดูอิ่มเอิบและเพอร์เฟ็กต์

    ใส่ประกายลงไปหน่อย

      เพื่อให้ค่ำคืนนี้เจิดจรัส ใช้ผลิตภัณฑ์ไลท์รีเฟลกซ์ติ้งเพื่อผิวเป็นประกายเล็กน้อย ซาร่าห์ แนะนำให้ทาประกายลงบนแขนและไหล่ อ้อ...อย่าลืมทากากเพชรเวลาใส่เสื้อเปิดไหล่ด้วยนะคะ เธอกล่าว

              Pick The Best Age-Defying Clothes For You!                                                       

    เลือกเสื้อผ้าให้กระชากวัย!

       อยากดูเด็กลงไปสักสิบปีได้เพียงแค่รื้อตู้เสื้อผ้าหรือเปล่า? ลองเลียนแบบเทคนิคกระชากวัยแบบไม่น่าเชื่อจากสไตล์ลิสต์ คาเรน ลิวอิส ดูสิสะ

    กล้าที่จะต่าง

       "ไม่มีอะไรต้องกลัวในการลองอะไรที่มันแตกต่าง" สไตล์ลิสต์คาเรนกล่าว "อย่ามัวแต่คิดว่าคุณสวมสีนั้นหรือสไตล์โน้นไมได้เพียงเพราะมันไม่ใช่อะไรที่คุณใส่เป็นปกติ การทดลองกับความคิดใหม่ๆ จะทำให้คุณได้เข้าถึงสัจธรรมใหม่ในชีวิต" เธอกล่าว

    พรางตาเพื่อความมั่นใจ

        "มองหาเสื้อผ้าเจ๋งๆ ที่ดีไซน์มาเพื่ออำพรางรูปร่างของคุณ" คาเรนกล่าว คุณยังสร้างภาพลวงตาด้วยลุคส์ที่น่ากอดน่าฟัดได้โดยเลือกเสื้อผ้าที่พลิ้วไปกับผิวมากกว่าเสื้อผ้าที่ติดตัว

    อวดผิวหน่อย-แม่สาวสุดเซ็กซี่!

        อย่าห่อตัวเองเพราะกลัวว่าจะแต่งตัวเหมือนลูกแกะ ให้รู้สึกและเชื่อมั่นว่าคุณคือลูกแมวแสนเซ็กซี่ด้วยการอวดผิวเล็กน้อยอย่างมีเสน่ห์! คาเรนแนะให้สวมเสื้อแขนกุดเพื่อเผยไหล่ได้รูปกับท่อนแขน ทางเลือกอื่นดี ๆ สำหรับความเซ็กซี่โดยไม่ต้องเปิดเผยเนื้อตัวมากเกินไปคือการใส่ชุดผ่าหลัง ชุดเปิดคอกระโปรงยาวแค่เข่า หรือคอเสื้อที่โค้งต่ำลงมา

    เลื่อนไหลไปกับส้นสูง

        "รองเท้าของคุณสามารถรับกันได้ดีกับเสื้อผ้า" คาเรนกล่าว "รองเท้าอาจช่วยคุณเปลี่ยนชุดกลางวันให้ดูเหมือนไปดินเนอร์หรือแต่งตัวดูดีขึ้นสำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์สบายๆ สำหรับสาววัย 30+ ลองหารองเท้าส้นสูงกับกางเกงยีนส์สักตัว เท่านั้นล่ะ ลุคส์สาวสูง เพรียวสุดเซ็กซี่ ก็จะเป็นของคุณแล้ว

    หรูหราด้วยเครื่องประดับ

        เครื่องประดับเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมที่จะทำให้ดูคลาสสิกโดยไม่ต้องเสียเงินทองมากนัก" คาเรนกล่าว อย่าบอกลาแวดวงไฮโซเพื่อเครื่องประดับอัญมณีราคาถูก แต่หันมาเลือกให้เหมาะกับสไตล์ของคุณและอย่าลืม ผ้าพันคอหรือเข็มขัด เพราะสามารถทำให้เสื้อผ้าดูดีได้

        Michael Obarma สตรีหมายเลข 1 วัย 46 ปี ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้สาวอเมริกันและผู้หญิงทั่วโลกหันกลับมาดูแลตัวเองทั้งรูปร่างหน้าตาการแต่งตัวและบุคลิกภาพ เพราะหลังจากวันสาบานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของบารัก โอบามา ดูเหมือนสื่อทุกแขนงจะโฟกัสไปที่บุคลิก และสไตล์การแต่งตัวของเธอ ปี 2009 มิเชลถูกจัดอันดับให้เป็นผู้หญิงที่แต่งตัวได้ดูดีที่สุด มิเชลเคยให้สัมภาษณ์ว่า เธอไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสไตล์ การแต่งตัวเพื่อตำแหน่งของสามีเลย แต่เธอเพียงปรับให้มันดูเหมาะที่จะเดินเคี้ยงข้างตำแหน่งประธานาธิบดีเท่านั้นเอง









ที่มา ... Health plus

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ ... น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส



น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสคืออะไร
พริมโรส (Primrose) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในลาตินอเมริกา เป็นพืชในเขตหนาว ลำต้นสูง มีดอกสีเหลืองกลีบบาง ลักษณะของดอกจะเป็นก้านและดอกจะมีลักษณะแผ่กว้าง ในฝักของดอกพริมโรส (Primrose) จะมีเมล็ดสีน้ำตาล และมีน้ำมันชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ออยส์ (Evening Primrose Oil) อยู่ในเมล็ด ซึ่งน้ำมันดังกล่าวนี้มีสารประกอบสำคัญ คือ กรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัว (Essential Fatty Acid) ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ชนิดโอเมก้า 6 ได้แก่ กรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) และกรดแกมมาไลโนเลนิก (Gamma Linolenic acid – GLA) ซึ่งทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) มีคุณสมบัติในการป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์ผิวหนัง ผิวจึงคงความชุ่มชื่น สดใส เปล่งปลั่ง และมีน้ำมีนวล

LA ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะถูกร่างกายเปลี่ยนเป็น GLA โดยเอนไซม์ 6-Desaturase ซึ่ง GLA นี้เป็นสารตั้งต้นในกระบวนการสร้างพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทช่วยให้ร่างกายเกิดความสบาย ตลอดจนป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อาทิ ช่วยลดการอักเสบ ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ความดันดลหิตสูง บรรเทาอาการแทรกซ้อนจากโรค เบาหวาน และที่สำคัญที่สุด คือ รักษาอาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือน

  ประโยชน์ของน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส
จากการที่ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส อุดมไปด้วย GLA ทำให้มันมีคุณสมบัติที่ดีในการรักษา โดยจะเปลี่ยนรูปเป็น พรอสตาแกลนดิน ที่มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนในการช่วยให้หน้าที่ต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้มันยังมีคุณสมบัติในการต้านอาการอักเสบที่ดีด้วย

น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสต่ออาการปวดประจำเดือนและอาการก่อนและหลังประจำเดือน
อาการที่เกิดขึ้นร่วมกันกับการมีประจำเดือน อันได้แก่ อาการปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย วิงเวียนศรีษะ ปวดหลัง รวมถึงอาการคัดหน้าอก เป็นอาการที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้หญิงเป็นอย่างมาก เป็นผลจากการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวมากเกินไป ทำให้ไขมันถูกเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มมากขึ้นในเนื้อเยื่อมดลูก ส่งผลให้มดลูกบีบตัวมากกว่าปกติ ทำให้อาการปวดท้องในขณะที่มีประจำเดือนเกิดขึ้น นอกจากนี้กรดไขมันอิ่มตัวที่มากเกินไปจะทำให้ฮอร์โมนโปรแลคตินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการคัดหน้าอก และทำให้เลือดออกมาก เป็นผลให้เพิ่มการบีบตัวของเลือดในมดลูก ทำให้มีอาการปวดประจำเดือนมากด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ฮอร์โมนโปรแลคตินยังทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดศรีษะ ปวดหลัง ปวดเมื่อยรวมถึงอาการอ่อนเพลียขณะมีประจำเดือน

การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ซึ่งมีกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือน อาการก่อนและหลังประจำเดือน อาการคัดหน้าอก ลงได้ โดยต้องบริโภคทุกวัน ไม่ใช่บริโภคเฉพาะในขณะที่เป็นประจำเดือน เพราะร่างกายต้องการเวลาในการสร้างพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1 – PGE1) เพื่อให้ช่วยลดอาการปวดให้ลดลง

-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่
ตามปกติ เยื่อบุมดลูกอยู่ในโพรงของมดลูกเป็นเนื้อเยื่อที่ตอบสนองต่อระดับของฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน เมื่อถึงรอบเดือนเยื่อบุมดลูกจะหนาตัวขึ้น เพราะถูกฮอร์โมนเพศกระตุ้นแต่พอฮอร์โมนเพศลดระดับลง เยื่อบุมดลูกจะสลายตัวออกจากโพรงมดลูก หลุดออกมาเป็นประจำเดือนเมี่อออกมาหมดแล้ว และมีฮอร์โมนเพศมากระตุ้นอีก เยื่อบุมดลูกจะหนาขึ้นเหมือนเดิม และเมื่อระดับฮอร์โมนเพศลดลงก็จะออกมาเป็นประจำเดือนของเดือนถัดไป

แต่ในบางครั้งเยื่อบุมดลูกเกิดอยู่ผิดที่ กล่าวคือ ไม่อยู่ในโพรงมดลูก แต่กลับไปอยู่ที่ รังไข่บ้าง ช่องเชิงกรานบ้าง ดังนั้น เมื่อฮอร์โมนเพศมีระดับสูง เยื่อบุมดลูกที่อยู่ผิดที่จะหนาขึ้น และเมื่อระดับฮอร์โมนเพศลดลงก็จะออกมาเป็นเลือด แต่เลือดที่ออกมานี้จะระบายออกมาทางช่องคลอดเช่นเยื่อบุมดลูกที่อยู่ในโพรงมดลูกไม่ได้ เลือดที่ออกมาจะถูกขังอยู่เป็นถุงน้ำหรือซีสต์ ในรังไข่บ้าง ช่องเชิงกรานบ้าง ซึ่งถ้าก้อนมีขนาดใหญ่ก็อาจจะต้องทำการผ่าตัด ดังนั้นกรดไขมันจำเป็น ซึ่งก็คือ กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ที่มีอยู่ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจึงมีบทบาทต่อโรคเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่เป็นอย่างมาก กล่าวคือ กรดแกมมา ไลโนเลนิก ถูกเอาไปสร้างพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1 – PGE1) สามารถบรรเทาอาการอักเสบของก้อนเนื้อได้ ทำให้อาการปวดลดลง

น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับโรคไขข้ออักเสบ
ไขข้ออาจมีโอกาสอักเสบได้ เนื่องจากการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อมือ ข้อนิ้ว ที่ทำงานหนัก แต่การซ่อมสร้างต้องกระทำอย่างรวดเร็ว เมื่อมีอายุมากขึ้น ความสามารถในการซ่อมสร้างอาการอักเสบของข้อต่างๆของร่างกายนั้นลดน้อยลง จึงเกิดอาการอักเสบและมีอาการปวดข้อในผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ยังมีโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ ซึ่งเป็นโรคไขข้ออักเสบหลายๆข้อทั่วร่างกาย เกิดจากภูมิต้านทานไวเกินและมาทำร้ายเนื้อเยื่อของไขข้อและเนื้อเยื่อรอบข้อ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์นี้ จะมีระดับพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1– PGE1) ที่รักษาอาการอักเสบต่ำมาก แต่มีระดับพรอสตาแกลนดิน 2 ที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบและจ็บปวดมากกว่าปกติ

โดยปกติ การรักษาอาการอักเสบของข้อเป็นหน้าที่ของพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ซึ่งมีอยู่ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะทำหน้าที่คอยบรรเทาอาการอักเสบและอาการบวมรอบข้อลงได้

จากการศึกษาทดลองใช้ในผู้ป่วยเป็นเวลานาน 6 เดือน พบว่าผู้ป่วยที่รับประทาน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะให้ผลลดอาการปวดและอักเสบตามไขข้อได้ดีกว่ายาหลอกอย่างชัดเจน

น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับโรคเบาหวาน
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส สามารถช่วยป้องกันอาการเซลประสาทถูกทำลายจากโรค เบาหวาน จากการวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า GLA ใน อีฟนิ่งพริมโรส สามารถช่วยป้องกันอาการดังกล่าวได้ และในบางรายยังสามารถทำให้เซลประสาทคืนกลับมาเหมือนเดิมได้ด้วย อาการปลายประสาทอักเสบ (neuropathy) นั้นจะพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรค เบาหวาน จากการศึกษาที่นานนับปี มีผลวิจัยออกมาว่าอาการชาตามปลายประสาท อาการเจ็บปวดแปลบๆ และอาการสูญเสียความรู้สึกในผู้ป่วย เบาหวาน จะลดน้อยลงจากชัดเจนในรายที่รับประทาน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทาน

น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับปัญหาโรคอื่นๆ
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับผื่นแพ้และกลากน้ำนม
ผู้ที่มีอาการของผื่นแพ้ โดยเฉพาะในเด็กที่เป็นกลากน้ำนม ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนกรดไขมันโอเมก้า 6 ชนิดกรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) ให้เป็นกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ได้ หรือถ้าเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนได้น้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากขาดเอนไซม์ในปฏิกิริยาชีวเคมีบางชนิด

หากเด็กจำเป็นต้องกินนมวัวและทำให้เกิดกลากน้ำนม เนื่องจากในนมวัวมีกรดไขมันชนิด กรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) ซึ่งเด็กส่วนหนึ่งไม่มีเอนไซม์บางตัว จึงไม่สามารถเปลี่ยนกรดไขมันดังกล่าวให้เป็นพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1 – PGE1) แบบนมแม่ได้ จึงเกิดอาการแพ้ขึ้น ดังนั้น น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จึงช่วยลดอาการแพ้นี้ได้ โดยการทาที่ผิวหนังเพื่อให้น้ำมันซึมผ่านเข้าไป

-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับผิวพรรณ
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ปรับสภาพผิวที่แห้งกร้านให้กลับดูนุ่มนวลสดใส ลดริ้วรอยและความหมองคล้ำของผิวพรรณ ช่วยลดการเกิดสิวอุดตัน ตลอดจนช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น ผิวหนังแห้ง รวมถึงอาการผมร่วง มีรังแค และเล็บเปราะได้

นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการโรคเรื้อนกวาง (eczema) ซึ่งทำให้ผู้ป่วยโรคนี้มีอาการลดลงสามารถปริมาณการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ลงไป

-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคความดันโลหิตสูง
โรคของหลอดเลือดอันเกิดจากไขมันในเลือดสูง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและเสียความยืดหยุ่น แรงดันเลือดในหลอดเลือดเพิ่มสูงขึ้นจากความแข็งของเลือด อันเป็นสาเหตุสำคัญของโรคความดันโลหิตสูง การที่หลอดเลือดเพิ่มแรงต้านทานในการไหลของหลอดเลือดจะส่งผลกระทบต่อหัวใจ กล่าวคือ จะต้องออกแรงบีบไล่เลือดไปตามหลอดเลือดที่แข็งตัวแรงกว่าเดิม เป็นเหตุให้ความดันโลหิตเพิ่มตาม

กรดไขมันจำเป็น คือ กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสสามารถลดความดันโลหิตลงได้

-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคหัวใจ
โรคหัวใจ เกิดจากไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือด หลอดเลือดมีขนาดรูแคบลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอและเกิดอาการแน่นหน้าอก ปวดในหน้าอก จนกระทั่งหัวใจวายได้ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส มีกรดโอเมก้า 6 ช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นก้อน ป้องกันไม่ให้เกิดตะกอนของไขมันในหลอดเลือด และป้องกันโรคหัวใจได้

-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคไต
ผู้ป่วยที่ป่วยเป็น โรคไต บางรายที่กินยาบางตัว หรือได้รับสารพิษบางตัว ซึ่งสารเคมีดังกล่าว มักจะไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) แล้วทำให้ไตเสียตามมา การบริโภคกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า 6 ชนิด GLA จะสามารถถนอมรักษาไตให้คงสภาพปกติได้นานเนื่องจากการบริโภคน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสเข้าไป จะทำให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ได้มากขึ้น ส่งผลให้สามารถแก้ไขความเสียหายของไตที่เกิดขึ้นให้กลับคืนสู่ปกติได้

-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคจิตใจ
โรคจิตเภท (Schizophrenia) เกิดขึ้น เนื่องจากมีความผิดปกติทางชีวเคมีในสมองของผู้ป่วย ทำให้เกิดอาการทางสมอง คือ ควบคุมตนเองไม่ได้ ซึมเศร้า ทำอะไรไม่รู้ตัว ประสาทหลอน ซึ่งอาการดังกล่าวนักวิทยาศาสตร์คาดว่า อาจเป็นเพราะร่างการขาดกรดไขมันจำเป็น ชนิด กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) และมีฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ไม่เพียงพอรวมทั้งยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิด กรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) น้อยกว่าปกติ ดังนั้น การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะทำให้เพิ่มกรดไขมันจำเป็น ส่งผลให้ลดอาการทางจิตใจได้

-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคอัลไซเมอร์
โรคอัลไซเมอร์ เป็นโรคความจำเสื่อม มักจะเกิดกับผู้สูงอายุ มีอาการหลงลืม โดยสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับปัจจุบันไป แต่สามารถจำอดีตได้ การที่ผู้สูงอายุสูญเสียความทรงจำไปนี้เพราะขาดกรดไขมันจำเป็น ผลก็คือ เม็ดเลือดแดงจะมีเยื่อหุ้มเซลล์แข็งขึ้นกว่าเดิม ทำให้จับออกซิเจนได้ลดลง เป็นผลให้สมองได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยกว่าปกติ จึงเกิดอาการหลงลืม การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เข้าไป สามารถเพิ่มกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) จะทำให้เม็ดเลือดแดงกลับคืนสู่สภาพปกติ กล่าวคือ สมองได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงเพิ่มมากขึ้น อาการดังกล่าวข้างต้นก็จะทุเลาลง

-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรค ไข้หวัด
หลังจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด ร่างกายจะอ่อนเพลียเสมอ ทั้งนี้เพราะการติดเชื้อหวัดจะกระทบต่อการดูดซึมกรดไขมันจำเป็นชนิดกรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) เข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งยังยับยั้งการเปลี่ยนกรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) ไม่ให้เป็นกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) อีกด้วย
ในขณะที่เป็นหวัด ร่างกายจึงขาดกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 6 อย่างรุนแรงทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว และเกิดอาการอ่อนเพลียอย่างรุนแรง ซึ่งการบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะสามารถบรรเทาอาการหวัดลงได้

-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคตับเรื้อรัง
ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง จะมีกรดไขมันจำเป็นในเลือดผิดปกติ โดยมีกรดชนิด กรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) สูงผิดปกติ แต่เมตาโบไลต์ชนิดอื่นในปฏิกิริยาเคมีอยู่ในระดับต่ำ แสดงว่าร่างกายของผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังไม่สามารถเปลี่ยน กรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) ให้กลายเป็นกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ดังนั้นฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) จึงมีระดับต่ำ ทำให้โรคตับมีอาการกำเริบขึ้น เพราะภูมิต้านทานจะต่ำลง อาการอักเสบมีมากขึ้น เม็ดเลือดขาวทำงานไม่ดี การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะสามารถบรรเทาอาการโรคตับลงได้

ปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
ปริมาณที่แนะนำของจำนวนของกรดไขมัน GLA ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันนั้น คือ 240 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นปริมาณที่แนะนำของ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส สำหรับรักษาอาการต่างคือ รับประทานครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ซึ่งจะเทียบเท่ากับปริมาณ GLA 240 มิลลิกรัมตามที่ต้องต่อวัน

สำหรับผู้ป่วย เบาหวาน: ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ ครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ร่วมกับรับประทาน น้ำมันปลา (Fish Oil) อีกครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง

ข้อแนะนำในการรับประทาน

-รับประทาน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส พร้อมอาหารเพื่อลดอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น

-เพื่อให้ได้ผลดีในการใช้ในการรักษาอาการปวดประจำเดือน ดังนั้นเพื่อให้ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เปลี่ยนเป็น GLA ได้ดีควรรับประทานร่วมกับ Multivitamin (ควรจะประกอบไปด้วย zinc, vitamin C, vitamin B-complex vitamins และ magnesium)

-ในรายที่ต้องการผลด้าน ผิวหนัง ผม และเล็บ อาจจะต้องใช้เวลา 2-6 เดือนกว่าจะเห็นผล

อาการข้างเคียง
ถึงแม้ว่า น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะให้คุณประโยชน์ มากมาย แต่สำหรับผู้บริโภคบางรายที่รับประทานเข้าไปแล้ว อาจจะเกิดอาการข้างเคียงได้ อาทิ

-อาการคลื่นไส้ ท้องอืดเฟ้อ

-อาการปวดศรีษะ

-อาการผื่นแพ้

-อาการลมชักกำเริบ

ในยุคปัจจุบันนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะบริโภคกรดไขมันอิ่มตัวจากการกินเนื้อสัตว์ นม ช็อกโกแลตมากเกินไป จนกระทั่งกรดไขมันอิ่มตัวเข้าไปแทนที่กรดไขมันจำเป็น ทำให้ร่างกายได้รับกรดไขมันจำเป็นชนิดโอเมก้า 6 ไม่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่สมดุล และช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ดังนั้นจึงควรบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เพื่อให้ร่างกายเปลี่ยน กรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) เป็น กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีในที่สุด

 

"Evening Primrose Oil" รักษาผิว



        น้ำมันจากเมล็ดอีฟนิ่ง พริมโรส (Evening Primrose Oil : EPO) ประกอบด้วยกรดไขมันที่สำคัญคือ กรดไลโนเลอิก (linoleic acid) และกรดแกมม่าไลโนเลนิก (g-linolenic acid หรือ GLA) ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็น ที่มีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ในร่างกาย, ต้นกำเนิดของสาร eicosanoid (เช่น prostaglandins, leukotrienes และ thromboxanes) ถ้าร่างกายขาดกรดไขมันจำเป็นจะเกิดอาการต่าง ๆ เช่น การเจริญเติบโตของร่างกายผิดปกติ ผมร่วง คันตามผิวหนัง ปรากฏเป็นผื่นแดงและมีขุยบริเวณข้อพับต่าง ๆ แผลหายช้า ติดเชื้อที่ผิวหนังได้ง่าย และผิวหนังแห้งกว่าคนปกติ

       โรคผิวหนังที่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าสามารถใช้ EPO มารักษาได้ เช่น โรค Atopic dermatitis, Psoriasis vulgaris และ Acne vulgaris 

       ผู้ป่วย Atopic dermatitis ซึ่งมีอาการตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ มีความ ผิดปกติในการทำงานของ เอ็นไซม์ delta-6 desaturase ทำให้ไม่ สามารถ เปลี่ยนกรด linoleic acid ไปเป็น GLA ทำให้ผิวหนังแห้งเป็น ผื่นแดง มีขุยบริเวณใบหน้าและข้อพับ เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะของโรค Atopic dermatitis

        มีการศึกษาพบว่า อาการของโรคจะดีขึ้นเมื่อให้รับประทาน EPO แต่มีคำแนะนำรักษาโรค Atopic dermatitis ดังนี้ คือ ควรให้การรักษาแบบ conventional treatment ก่อน คือให้ emollient, Mild topical corticosteroid รักษาภาวะ ติดเชื้อก่อน ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หลังการรักษา 2 สัปดาห์จึงให้รับประทาน EPO เพิ่มเติม ในเด็กให้ครั้งละ 2-4 แคปซูล วันละ 2 เวลา ผู้ใหญ่ครั้งละ 4-6 แคปซูล วันละ 2 เวลา (EPO ที่มีขายในท้องตลาดขนาด 500 mg. จะประกอบด้วย g-linolenic acid 40 mg.) อาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ แต่บางรายใช้เวลา 8-12 สัปดาห์ อาการข้างเคียงมีน้อย และพยายามลดจำนวน EPO ให้น้อยลงเท่าที่จะสามารถควบคุมอาการ ของโรคไว้ได้ หลีกเลี่ยงในผู้ที่รับประทานยา Phenothiazine เพราะทำให้เกิดชักได้ EPO ปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์และขณะ ให้นมบุตร

        มีข้อสังเกตพบว่าคนที่รับประทาน EPO เป็นประจำ จะพบว่าผิวหนังจะเนียนและเรียบกว่าเดิม (smoother) เชื่อกัน ว่า EPO ออกฤทธิ์โดยการลดการอักเสบของผิวหนังอันเนื่องมาจากสาร eicosanoid ซึ่งเป็นตัวเสริมการออกฤทธิ์ของ histamine ด้วย 

       โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เริ่มจากมีข้อสังเกตว่าชาวเอสกิโมเป็น โรค Psoriasis น้อย อาจมีความสัมพันธ์กับการกิน ปลาทะเลมาก และ ถ้าให้เขารับประทาน อาหารที่มี Saturated fatty acid พบว่ามี โอกาส เป็นโรค Psoriasis เพิ่มขึ้น เชื่อว่า EPO ไปยับยั้งการ ทำงานของสาร eicosanoid ซึ่งเป็นสารที่เป็น สาเหตุการเกิดรอยโรค Psoriasis
       นอกจากนี้ ในกรณีแพทย์ให้ยา Etretinate รักษา Psoriasis ควรให้ EPO ร่วมด้วย เพื่อควบคุมภาวะไขมันในเลือด สูง (hypertriglyceridemia) จากยา Etretinate 

       คนเป็นสิวตรวจพบระดับ linoleic acid ในเลือดต่ำ ทำให้เกิดการหนาตัว ของผิวหนังบริเวณรูขุมขน (follicular hyperkeratosis) อันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบตามมา การรับประทาน EPO เพื่อรักษา/ป้องกันการเป็นสิว ต้องใช้เวลานาน อย่างน้อย 6 เดือน จึงจะเห็นผลการรักษา (90%)

       อย่างไรก็ตาม ในฐานะแพทย์ผิวหนัง ขอแนะนำว่า EPO เป็นตัวเสริมในการรักษาโรคดังกล่าว ไม่ควรใช้ EPO อย่างเดียวในการรักษา (monotherapy)






ที่มา ... องค์การเภสัชกรรม

 

 

แค่น้ำ...ก็ล้างพิษได้จริงหรือ?



          คุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่าคะ ที่เคยรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวอย่างไม่มีสาเหตุ? ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีไข้ หรือมีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด ลองส่องกระจกดูใบหน้าตัวเอง แล้วสังเกตสิคะ ว่าหน้าตาก็ดูไม่สดใส ผิวพรรณแห้งกร้านทั้งๆ ที่ทาครีมบำรุงทุกวัน แล้วหันกลับมามองดีๆ ถึงปัจจัยต่างๆ ที่สาวๆ ปฏิเสธไม่ได้ค่ะว่า ทุกวันนี้เราอาศัยอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง และมลภาวะที่เป็นพิษทั้งจากควันรถยนต์ ฝุ่นละออง และเชื้อโรคต่างๆ มากมาย ตลอดจนวิถีชีวิตที่เคร่งเครียดกับงาน ประชุมจนเย็นย่ำ รับประทานแต่อาหารกล่องที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ หรือเพลียหนักจนเผลอหลับไปกับโต๊ะทำงาน เรื่องออกกำลังกายน่ะเหรอ? ลืมไปได้เลย...จากสาเหตุเหล่านี้นั่นแหละค่ะ สร้างเป็นความเครียด และมลพิษที่เรามองไม่เห็นที่สะสมอยู่ในร่างกายและจิตใจของเรา เสมือนระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่พร้อมจะประทุออกมาในอนาคต สิ่งเป็นพิษที่สาวๆ ควรจะกำจัดไว้เสียแต่เนิ่นๆ เพื่อสร้างสมดุลใหม่ให้กับร่างกายและจิตใจไงล่ะคะ

    แล้วการล้างพิษล่ะ คืออะไร?   
        การล้างพิษ หรือ DETOX ที่สาวๆ รู้จักและคุ้นหูกันดีนั้น มาจากคำว่า "Detoxification" การล้างพิษนั้นหมายถึงการใช้วิธีส่งเสริม หรือเร่งให้ร่างกายขับล้างพิษออกไปให้มากกว่าปกติ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายวิธี เช่น การสวนทวาร การอบไอน้ำหรือการเซาน่า การออกกำลังกายหรือการนวด การใช้ยาสมุนไพร และการถ่ายเลือดโดยผู้เชี่ยวชาญ และมีสารพิษอยู่ 3 ประเภทที่สะสม และเป็นภัยเงียบที่อาศัยอยู่ในร่างกายสาวๆ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยก็คือ 
            1. สารพิษที่เกิดจากระบบย่อยที่ไม่ดี 
            2. สารพิษที่เกิดจากระบบย่อยที่ไม่ดีชนิดรุนแรง เพราะเป็นสารพิษในลำไส้ที่สะสมนานเข้าจนทำลายเนื้อเยื่อในลำไส้ จนทำให้ลำไส้เป็นแผล และยังเข้าไปในกระแสเลือดทำระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ และ 
            3. สารพิษที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น สารสังเคราะห์ โลหะหนักที่ปนเปื้อน สารกันบูดในอาหาร และเครื่องสำอาง มลภาวะทางอากาศและน้ำ เป็นต้น ซึ่งกระบวนการล้างพิษในวิธีต่างๆ นั้น จะทำให้ร่างกายของเราขับสารพิษที่สะสมอยู่ออกมา เพื่อช่วยให้ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดี และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ

    ว่ากันว่า น้ำก็สามารถล้างพิษได้?   
        จริงๆ แล้วนั้น สาวๆ ก็สามารถล้างพิษได้ด้วยตัวเอง และล้างพิษได้ทุกวันค่ะ ซึ่งมีอยู่หลากหลายวิธีและสามารถทำได้ง่ายแสนง่าย เช่น การกินเพื่อล้างพิษ อดเพื่อล้างพิษ ฝึกลมปราณเพื่อล้างพิษ ฝึกสมาธิเพื่อล้างพิษทางจิตใจ และสวนลำไส้เพื่อล้างพิษ สำหรับการกินเพื่อล้างพิษสาวๆ สามารถเริ่มต้นได้จากชีวิตประจำวันเรานี่ล่ะ เช่น รับประทานอาหารที่สดใหม่ มีไฟเบอร์หรือกากใยอาหารมากๆ ผักและผลไม้อย่าให้ได้ขาดนะคะ แต่ไม่ควรเป็นผลไม้ที่มีแคลลอรี่สูงอย่างทุเรียน ขนุน หรือผลไม้ที่มีกรดมากอย่างสับปะรด เป็นต้น

       และสิ่งสำคัญที่ร่างกายของเราจะขาดเสียไม่ได้นั่นก็คือ น้ำ นั่นเองค่ะ
       สาวๆ อาจจะแปลกใจว่าแค่น้ำเปล่าจะสามารถล้างพิษที่สะสมในร่างกายได้จริงๆ คำตอบก็คือ การดื่มน้ำสามารถช่วยล้างพิษให้กับร่างกายได้ เนื่องจากน้ำช่วยทำความสะอาดระบบการทำงานของร่างกาย สามารถล้างพิษที่ตกค้างอยู่ในระบบของเหลวภายในร่างกาย เช่น ระบบเลือด ระบบน้ำเหลือง ด้วยการขับสารพิษออกมาทางเหงื่อ และปัสสาวะ ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยล้างพิษด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดและคืนความสดใสเปล่งปลั่งสู่ผิวพรรณได้ตามธรรมชาตินั่นเองค่ะ 

     ดื่มน้ำ แล้วยังไงต่อ?              

      1. สวยด้วยน้ำ 8 แก้วต่อวัน
      สูตรที่สาวๆ คงคุ้นเคยกันดีนะคะว่าควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือเป็นปริมาณ 1.5 ลิตร ซึ่งก็เป็นความจริงที่ผ่านการศึกษามาแล้วค่ะ และควรดื่มน้ำเปล่าที่สะอาด ไม่เย็นจัดจนเกินไป และควรดื่มน้ำหลังมื้ออาหารครึ่งชั่วโมงเพื่อให้อาหารในกระเพาะได้ทำการย่อยเสียก่อน 

      2. นอนเท่านั้น คือสวรรค์แห่งการพักผ่อน
      ไม่เพียงแต่ต้องนอนพักผ่อน 6 - 8 ชั่วโมงต่อวันแล้ว แต่สาวๆ ต้องพยายามบังคับตัวเอง และจัดเวลาในการนอนเสียใหม่ ไม่ให้ดึกไปนัก เพราะอาจจะนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพอีกร้อยแปดพันประการเลยค่ะ เช่น ปัญหาสิว (ปัญหาที่ไม่มีใครอยากพบเจอใช่ไหมคะ) เพื่อให้ร่างกายได้พักอย่างจริงจัง และพร้อมที่จะฟื้นฟูสุขภาพอย่างแท้จริงค่ะ

      3. หมดว่ากับคำว่า ไม่มีเวลาออกกำลังกาย
      เจียดเวลาก่อนแต่งตัวไปทำงานในตอนเช้า หรือหลังเลิกงานสัก 15-20 นาที ในการออกกำลังกาย นอกจากจะช่วยรักษารูปร่างให้ฟิตแอนด์เฟิร์มแล้ว ร่างกายยังสามารถขับสารพิษ และของเสียต่างๆ ออกมาทางเหงื่ออีกด้วยค่ะ

      4. คิดทุกอย่างที่กิน ไม่ใช่กินทุกอย่างที่คิด
      รับประทานผักและผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายให้เป็นมื้อหลักของสาวๆ ไปเลยค่ะ รับประทานเนื้อสัตว์แต่น้อย หรือเมนูเนื้อปลา เนื้อไก่ที่ไม่ติดมัน ลองเปลี่ยนเมนูอาหารที่ไม่มีแคลลอรี่ไปทุกวันเพื่อไม่ให้เบื่อ เพียงเท่านี้ก็ได้ทั้งหุ่นสวย ผิวสวย สุขภาพดี มาครองแล้วล่ะคะ









ที่มา .... สบายอารมณ์